วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2558

Data, File and Computer Virus

Data, File and Computer Virus

  



3.1  ข้อมูล และสารสนเทศ
             
  ข้อมูล (Data) หมายถึง ข้อเท็จจริงที่อยู่ในรูปแบบต่างๆ  เช่น ตัวเลข ข้อความ  ภาพ เสียง  ภาพเคลื่อนไหว  เป็นต้น   สารสนเทศ (Information) หมายถึง ข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลด้วยวิธีที่เหมาะสม  ระบบสารสนเทศมีองค์ประกอบ ดังนี้
        3.1.1  ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หมายถึง เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์รอบข้าง  รวมทั้งอุปกรณ์สื่อสารสำหรับเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าเป็นเครือข่ายอีกด้วย
3.1.2  ซอฟต์แวร์ (Software) หมายถึง ลำดับขั้นตอนของคำสั่งที่จะสั่งให้ฮาร์ดแวร์ทำงาน
        3.1.3  บุคลากร หรือพีเพิลแวร์ (Peopleware) หมายถึง ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ ผู้ดูแลระบบ นักวิเคราะห์ระบบ หรือนักเขียนโปรแกรม 
3.1.4  ข้อมูล   จะต้องมีความถูกต้อง ชัดเจน และมีมาตรฐานการจัดเก็บ
3.1.5  ขั้นตอนการปฏิบัติงาน  หรือโพรซิเยอร์ (Procedure) เป็นแนวปฏิบัติของผู้ใช้ระบบสารสนเทศ   เพื่อให้ระบบมีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัย

peopleware (บุคลากร)  เป็นหัวใจสำคัญของระบบสารสนเทศ
3.2  การจัดเก็บข้อมูล
หน่วยเก็บข้อมูลของคอมพิวเตอร์  ได้แก่ ฮาร์ดดิสก์ ฟล็อปปีดิสก์ ซีดีรอม แฟล็ชไดรว์ ฯลฯ   จะเก็บข้อมูลในรูปของเลขฐานสองประกอบกันเป็นแฟ้มหรือไฟล์ (File)   อาจจะมีการสร้างสารบบหรือไดเร็คทอรี (Directory) หรือโฟล์เดอร์ (Folder) เอาไว้ในหน่วยเก็บข้อมูลเพื่อจัดเก็บไฟล์ให้เป็นหมวดหมู่หรือเป็น องค์ประกอบของไฟล์  มีดังนี้

3.2.1 ชื่อไฟล์ (File Name)  อาจจะเป็นตัวอักษร ตัวเลข หรือสัญลักษณ์ก็ได้ สัญลักษณ์ที่ไม่ยอมให้ใช้ตั้งเป็นชื่อไฟล์ คือ  / (forward slash), \ (back slash), (quote mark), : (colon), | (pipe),  [ ] (square blacket), * (asterisk), ? (question mark), + (plus sign), = (equal sign), ; (semicolon), < (lesser than), > (greater than), และ , (comma) ชื่อไฟล์ที่เป็นอักษรตัวใหญ่หรือตัวเล็กจะไม่มีความแตกต่างกันในระบบปฏิบัติการ Windows


3.2.2 ประเภทของไฟล์ (File Type)  จะเป็นแจกแจงให้ทราบว่า เป็นไฟล์ประเภทใดหรือ

โปรแกรมประยุกต์ใดสามารถเรียกใช้ได้  ไฟล์จะมีส่วนขยายไฟล์ (File Extention) ต่อท้ายชื่อไฟล์  โดยระหว่างชื่อไฟล์กับส่วนขยายนี้จะมีจุดหรือด็อต (dot) คั่นเอาไว้  (ปกติจะซ่อนไว้ไม่ให้เราเห็น)  ซึ่งส่วนขยายไฟล์จะมีอยู่ 3 ตัวอักขระ  เช่น  ไฟล์ประเภทโปรแกรมจะมีส่วนขยายด็อตคอม(.com) และด็อตอีเอ็กซ์อี (.exe),  ไฟล์ประเภทข้อความจะมีส่วนขยายเป็นด็อตด็อค (.doc) และด็อตเท็กซ์ต์ (.txt)  ขณะที่ไฟล์รูปภาพจะมีส่วนขยายเป็นด็อตกิ๊ฟ (.gif), ด็อตเจเพ็ก (.jpg), ด็อตพิค (.pic), หรือด็อตทิฟ (.tif)  เป็นต้น






3.2.3 ขนาดของไฟล์ (File Size)  ไฟล์หรือโฟลเดอร์จะมีความจุเป็น ไบต์ (Byte) ซึ่งเป็น

หน่วยความจำที่เล็กที่สุดที่มนุษย์สามารถรับรู้ได้  กิโลไบต์ (Kilobyte : KB)  ซึ่งมีค่าเท่ากับ  210 (1,024 ไบต์)เมกกะไบต์ (Megabyte : MB) มีค่าเท่ากับ 220 (1,048,576 ไบต์)   กิกะไบต์ (Giagabyte : GB)   มีค่าเท่ากับ 230 หรือ 1,073,741,824 ไบต์   ตามลำดับ






4.1  ไวรัสคอมพิวเตอร์คืออะไร

              

  ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ โปรแกรมชนิดหนึ่งที่ถูกเขียนขึ้นเลียนแบบไวรัสที่ทำให้เกิดโรค มีการเจริญเติบโตได้  ขยายและแพร่กระจายตัวเองได้  รวมทั้งหลบซ่อนอำพรางตัวอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์  ระบบเครือข่าย  และสื่อเก็บข้อมูลต่างๆ





4.2  อาการของเครื่องที่ติดไวรัสคอมพิวเตอร์
          เราสามารถสังเกตการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ว่า  น่าสงสัยว่าจะติดไวรัสหรือไม่ โดยสังเกตอาการที่ผิดปกติ ดังนี้
    4.2.1   ใช้เวลานานกว่าปกติในการเรียกโปรแกรม
    4.2.2   ขนาดของไฟล์โปรแกรมใหญ่ขึ้นจนผิดสังเกต
    4.2.3   วัน เวลาของโปรแกรมหรือไฟล์ข้อมูลเปลี่ยนไป ทั้งๆที่ไม่ได้แก้ไขหรือเรียกใช้งาน
    4.2.4 ขนาดของหน่วยความจำรอง  เช่น ฮาร์ดดิสก์  แฟล็ชไดรว์ (แฮนดีไดรว์) เหลือพื้นที่น้อยลงอย่างผิดสังเกต หรือไม่สามารถเข้าไปใช้งานได้   เป็นต้น
    4.2.5 ไฟแสดงสถานภาพการทำงานของฮาร์ดดิสก์ติดค้างนานผิดปกติ  หรือกระพริบอยู่ตลอดเวลาทั้งที่ไม่ได้เรียกใช้งาน
    4.2.6   คีย์บอร์ดหรือเมาส์ทำงานผิดปกติหรือไม่ทำงานเลย
    4.2.7   คอมพิวเตอร์ทำงานช้าลงโดยไม่ทราบสาเหตุหรือบู้ตตัวเองใหม่โดยที่เราไม่ได้สั่ง
    4.2.8   มีการสูญหายของไฟล์ข้อมูลหรือโปรแกรมโดยไม่ทราบสาเหตุ






4.3  ประเภทของไวรัสคอมพิวเตอร์
          
4.3.1   บู้ตเซ็กเตอร์ไวรัส  Bootsector Virus เป็นไวรัสที่กบดานซุ่มอยู่ในส่วนของดิสก์ที่ต้องใช้ในการบู้ต ที่เรียกว่า  บู้ตเซ็กเตอร์ (Boot Sector)  การเรียกใช้งานดิสก์ก็เท่ากับไปปลุกไวรัสให้ออกมาทำงาน
Boot sector virus example
AntiVir  is checking and hunting the bootsector viruses.
          
4.3.2   โปรแกรมไฟล์ไวรัส  Executable File Virus  เป็นไวรัสชนิดที่แพร่ระบาดด้วยการติดไปกับไฟล์โปรแกรมที่มีส่วนขยายไฟล์เป็น  .com  ,  .exe   ,  .sys   , .dll   โดยสังเกตได้จากขนาดของไฟล์ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม  เมื่อเปิดโปรแกรมไวรัสก็จะทำงานและแพร่กระจาย

.exe virus detection example
Avast Antivirus Software  protects a malware .
           
4.3.3   มาโครไวรัส   Macro Virus
เป็นไวรัสที่ก่อกวนการทำงานของโปรแกรมชุดออฟฟิศ  เช่น  Word , Excel , Powerpoint  โดยจะสร้างคำสั่งพิเศษที่เรียกว่า มาโคร (Macro) ทำให้การใช้งานมีปัญหา 

          
4.3.4   สคริปต์ไวรัส  เป็นไวรัสที่เป็นภาษาสคริปต์ (Script)  เช่น    VB Script , Javascript       ซึ่งไวรัสเหล่านี้จะทำงานเมื่อผู้ใช้เปิดไฟล์ที่มีส่วนขยายเป็น  .vbs  หรือ  .js  ที่เป็นไวรัส   และปกติจะแพร่ผ่านมาทางอินเทอร์เน็ต
Norton AntiVirus detects a script virus.

 4.3.5   ไวรัสโทรจัน    โทรจัน (Trojan)  เป็นไวรัสพวกสปายแวร์ (Spyware) ที่จะคอยล้วงข้อมูลจากเครื่องของเราส่งกลับไปให้ผู้เขียนโปรแกรม  เช่น  ชื่อผู้ใช้งาน (ยูสเซอร์เนม)  รหัสผ่าน  (พาสเวิร์ด)  หรือหมายเลขบัตรเครดิต (เครดิตการ์ด)  เป็นต้น

Virus Trojan Spyware Signpost Shows Internet Or Computer Threats
           

4.3.6   ไวรัสกลายพันธุ์   เป็นไวรัสที่มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงลักษณะของตัวเองไปเรื่อยๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ ที่รู้จักกันมาก  ได้แก่    หนอนต่างๆ (Worms)  ที่แฝงตัวและแพร่หลายผ่านอีเมล์และไฟล์สคริปต์บนอินเทอร์เน็ต



3. การป้องกันและกำจัดไวรัสคอมพิวเตอร์
1.       ทุกครั้งที่ได้รับซอฟท์แวร์ที่ไม่ทราบแหล่งผลิต หรือได้รับแจกฟรี หรือดาวน์โหลดมาใช้ควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนนำมาใช้งาน
2.       การทำสำเนาแลกเปลี่ยนไฟล์ระหว่างเครื่องต้องตรวจสอบก่อนทุกครั้ง อย่ามั่นใจแม้จะมีโปรแกรมป้องกันไวรัสติดตั้งอยู่ในเครื่องแล้วก็ตาม
3.       ควรสำรองข้อมูลที่สำคัญไว้เสมอๆ
4.       ไม่อนุญาตให้คนอื่นมาใช้เครื่องของเรา โดยปราศจากการควบคุมอย่างใกล้ชิด (โดยเฉพาะการนำโปรแกรมต่างๆ มาติดตั้งในเครื่อง)
5.       ต้อง เพิ่มความระมัดระวังเมื่อต้องแลกเปลี่ยนข่าวสารหรือกรอกข้อมูลเมื่อใช้อิน เทอร์เน็ต  โดยเฉพาะข้อมูลจาการโฆษณาเชิญชวนในรูปของฟรีต่างๆ
6.       พยายาม สังเกตสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับคอมพิวเตอร์อยู่เสมอ เช่น การทำงานที่ช้าลง ขนาดไฟล์โตขึ้น หรือเนื้อที่ฮาร์ดดิสก์ลดลงอย่างมากผิดปกติ   หน้าจอแสดงผลแปลกๆ
ไฟฮาร์ดดิสก์ติดสว่างไม่ยอมดับ   เป็นต้น
7.       ควรหาซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส (Antivirus) ติดตั้งไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ และอัปเดทฐานข้อมูลไวรัสอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันไวรัสชนิดใหม่ๆ  เช่น  McAfee,  Norton, PC-Cillin,  Panda,  NOD32  เป็นต้น  

โปรแกรมป้องกันไวรัสสามารถหามาใช้งานได้จากเว็บไซต์ผู้ผลิต หรือแหล่งดาวน์โหลดที่เชื่อถือได้   เช่น  Download.com, Tucows.com, Thaiware.com  เป็นต้น  ส่วนใหญ่เป็นโปรแกรมประเภทแชร์แวร์ให้ทดลองใช้ 30 วัน



SOURCE  :  http://www.picta55.blogspot.com



SOFTWARE



SOFTWARE 

ซอฟต์แวร์

สาระสำคัญ

4.1  ซอฟต์แวร์ระบบทำหน้าที่บริหารจัดการระบบ เป็นตัวประสานระหว่างผู้ใช้ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เข้าด้วยกัน
4.2  ซอฟต์แวร์ประยุกต์ทำหน้าที่สั่งการคอมพิวเตอร์ให้ทำงานด้านต่างๆ ตามต้องการ ซอฟต์แวร์ประยุกต์มีหลายประเภท


ซอฟต์แวร์ระบบ


ซอฟต์แวร์ระบบหรือซิสเต็มซอฟต์แวร์ (System Software) มีหน้าที่ ดังนี้
1.  จัดการหน่วยรับเข้าและหน่วยส่งออก  เช่น  รับการกดแป้นต่าง ๆ บนแป้นพิมพ์
ส่งรหัสตัวอักษรออกทางจอภาพหรือเครื่องพิมพ์  ติดต่อกับอุปกรณ์รับเข้าและอุปกรณ์ส่งออก
อื่น ๆ  เช่น  เมาส์  ลำโพง  เป็นต้น
2.   จัดการหน่วยความจำหลักและหน่วยความจำรอง  เพื่อนำข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์  แผ่นดิสก์ แผ่นซีดี ซึ่งเป็นหน่วยความจำรอง  บรรจุ (Load) เข้าไว้ในหน่วยความจำหลัก ในทำนองกลับกันก็นำข้อมูลจากหน่วยความจำหลักมาเก็บไว้ในหน่วยความจำรอง
3.  เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์  เพื่อให้สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น เช่น  การขอดูระบบไฟล์ในฮาร์ดดิสก์   การทำสำเนาไฟล์ข้อมูล  เป็นต้น
ซอฟต์แวร์ระบบพื้นฐานที่เห็นกันทั่วไป แบ่งออกเป็นระบบปฏิบัติการ และตัวแปลภาษา



ระบบปฏิบัติการ



ระบบปฏิบัติการ (Operating System) นิยมเรียกสั้นๆ ว่า โอเอส (OS) เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการดูแลระบบคอมพิวเตอร์  เป็นซอฟ์แวร์ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจำเป็นต้องมี 


1.  ยูนิกซ์ (Unix)  เป็นระบบปฏิบัติการที่มีความเสถียรมากที่สุด และได้รับความเชื่อถือมาอย่างยาวนานแล้ว  เป็นเทคโนโลยีแบบเปิด (Open System) ที่ไม่ยึดติดกับฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ใดๆ ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้หลายผู้ใช้ เรียกว่า มัลติยูสเซอร์ (Multiuser)   ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์นิยมใช้กับเครื่องที่เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายเพื่อใช้งานร่วมกันหลายๆ เครื่องพร้อมกัน


UNIX  ณ ปัจจุบันใช้งานง่ายขึ้น เพราะใช้การติดต่อกับผู้ใช้ด้วยกราฟิก
GUI (Grapic User Interface)  แทนที่จะเป็น Text-based หรือตัวหนังสืออย่างเดียว

2.  ลีนุกซ์ (Linux)  พัฒนามาจากระบบยูนิกซ์  เป็นระบบโอเพ่นซอร์ส (Open Source) 
ที่เปิดเผยรหัสโปรแกรมต้นฉบับเเพื่อให้นักพัฒนาได้ช่วยกันพัฒนาระบบนี้ต่อไป
   ลีนุกซ์เป็นซอฟต์แวร์ที่อนุญาตให้ใช้ได้โดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์หรือฟรีแวร์ (Freeware)



Linux  เป็นซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการที่พัฒนามาจากระบบยูนิกซ์
และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ในหลายประเทศ เพราะไม่มีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์
3. แม็คโอเอส (McOS)  เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับไมโครคอมพิวเตอร์ตระกูลแม็คอินทอช  (MacIntosh) ของบริษัทแอ็ปเปิลคอมพิวเตอร์  ซึ่งเป็นที่นิยมใช้กันในวงการเอกสารสิ่งพิมพ์  กราฟิก และการออกแบบ


Mac
McOS เป็นระบบ GUI (Graphic User Interface) ที่ติดต่อกับผู้ใช้ด้วยกราฟิก
เป็นรายแรก ตั้งแต่ปี ค.ศ.1984 (ณ ขณะนั้น รายอื่นยังเป็น Text-based  ที่มีแต่ตัวหนังสือ

4.  ดอส (Disk Operating System : DOS)  เป็น ระบบปฏิบัติการที่พัฒนามาก่อนหน้านี้และเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้ใช้ ไมโครคอมพิวเตอร์ในอดีต ก่อนที่จะพัฒนาต่อมาเป็นระบบวินโดวส์ ผู้ใช้ระบบดอสจะต้องจดจำคำสั่งให้ได้  แล้วป้อนคำสั่งด้วยการพิมพ์ลงไปทีละตัว จึงทำให้ใช้งานได้ยาก  แต่ผู้ที่ต้องดูแลระบบก็ยังมีความจำเป็นต้องใช้งานในลักษณะของดอสอยู่เหมือน เดิม เพียงแต่เป็นส่วนหนึ่งของระบบวินโดวส์


DOS (Disk Operating System)  เป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้กันมานานตั้งแต่ปี ค.ศ.1981
ใช้การติดต่อกับผู้ใช้ด้วยตัวหนังสือ (Text-based)
กล่าวกันว่า DOS เลียนแบบ Unix  และทำให้มันใช้งานได้ง่ายขึ้น

5. วินโดวส์  (Windows)  เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาต่อจากดอส แต่มีระบบติดต่อกับผู้ใช้เป็นกราฟิก จึงใช้งานได้ง่าย ไม่ต้องจดจำคำสั่ง  สามารถใช้เมาส์ช่วย และยังทำงานพร้อมกันได้  ระบบปฏิบัติการวินโดวส์มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง จึงได้รับความนิยมสูงสุด


vista2
Windows  เป็นซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมมากที่สุดจากผู้ใช้ทั่วโลก
เพราะใช้งานง่าย สามารถรองรับอุปกรณ์ที่มาต่อพ่วงได้หลากหลายไม่ค่อยมีปัญหา
ยังมีระบบปฏิบัติการอื่นๆ อีกหลายระบบ โดยเฉพาะระบบปฏิบัติการที่เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานร่วมกันเป็นระบบ  เป็นต้น

5.3  ตัวแปลภาษา

โปรแกรม หรือชุดคำสั่ง คือ การบอกขั้นตอนและวิธีการดำเนินการอย่างละเอียดผ่านสื่อกลางคือ ภาษาคอมพิวเตอร์ แล้วให้เป็นภาษาเครื่องที่คอมพิวเตอร์รับรู้ได้   โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับแปลภาษาคอมพิวเตอร์ให้เป็นภาษาเครื่อง เรียกว่า ตัวแปลภาษา (Compiler) ได้แก่

       (1) ภาษาปาสคาล (Pascal)  เป็นภาษาที่มีรูปแบบเป็นโครงสร้าง  เขียนสั่งงานคอมพิวเตอร์เป็นกระบวนความ สามารถแบ่งแยกงานออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วมารวมกันเป็นโปรแกรมขนาดใหญ่


Turbo_Pascal_60_screenshot
TurboPascal  เป็นตัวแปลภาษาปาสคาล (Compiler) ที่ได้รับความนิยม
ในการฝึกเขียนโปรแกรมโดยใช้ภาษาปาสคาล ตามสถาบันการศึกษาต่างๆ

       (2) ภาษาเบสิก  (Basic) เป็นภาษาที่มีรูปแบบคำสั่งไม่ยุ่งยาก ปัจจุบันนี้ได้พัฒนาเป็นภาษา วิชวลเบสิก (Visual Basic) ที่ทำงานเป็นกราฟิก จึงเขียนโปรแกรมทำได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น


โปรแกรมการสั้งพิซซ่า  ที่ครูผู้สอนเคยสอนให้นักเรียน ม.ปลาย
เขียนด้วยภาษา Visual Basic 6.0 


Application จะสร้าง Message นี้ขึ้น
อันเป็นผลมาจากการสั่งพิซซ่าจากฟอร์มก่อนหน้านี้

(3) ภาษาจาวา (Java)  เป็นภาษาที่นิยมใช้พัฒนาโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ   เนื่องจากมีคุณสมบัติที่สามารถทำงานได้กับทุกระบบปฏิบัติการ  และเป็นรูปแบบของการพัฒนาภาษาเชิงวัตถุ ที่สามารถนำโปรแกรมเดิมมาใช้ใหม่ได้
JAVA  เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ที่ได้รับความนิยมจัดสอนในสถาบันการศึกษาต่างฟ
(4) ภาษาซี/ซีพลัสพลัส (C/C++)    เป็นภาษาที่เหมาะสำหรับใช้พัฒนาควบคุมฮาร์ดแวร์  จึงเป็นภาษาที่เหมาะกับการเขียนโปรแกรมควบคุมและติดต่อกับอุปกรณ์ต่าง ๆ 
                
Dev-C++  ตัวแปลภาษา C/C++ ที่ครูผู้สอนใช้ในการเรียนการสอน “การโปรแกรม”

 ซอฟต์แวร์ประยุกต์หรือแอ็พพลิเคชัน (Application)  มีให้เลือกมากมายหลายประเภท หรืออาจเป็นซอฟต์แวร์ใช้งานเฉพาะที่พัฒนาขึ้นมาเองก็ได้

6.1 ซอฟต์แวร์สำเร็จ

6.1.1 ซอฟต์แวร์ประมวลคำ

ซอฟต์แวร์ประมวลคำหรือเวิร์ดโพรเซสเซอร์ (Word Processor) เป็น ซอฟต์แวร์ใช้สำหรับพิมพ์เอกสาร สามารถแก้ไข เพิ่ม แทรก ลบ และจัดรูปแบบเอกสาร เอกสารที่พิมพ์ไว้สามารถเก็บไว้เป็นไฟล์ข้อมูล สามารถเรียกมาพิมพ์หรือแก้ไขใหม่ได้ การพิมพ์ออกทางเครื่องพิมพ์ก็มีรูปแบบตัวอักษรให้เลือกหลากหลาย เอกสารจึงดูเรียบร้อยสวยงาม  ซอฟต์แวร์ประมวลคำที่นิยมอยู่ในปัจจุบัน เช่น Microsoft Word  เป็นต้น 
OpenOffice.org Writer free and open source word processor - Best Of
OpenOffice Writer เป็นซอฟต์แวร์ประมวลคำ
ที่เราสามารถดาวน์โลดมาใช้ได้โดยไม่ต้องเสียค่าลิชสิทธิ์

6.1.2  ซอฟต์แวร์ตารางทำงาน


ตารางทำงานหรือสเปรดชีต (Spreadsheet) เป็น ซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการคิดคำนวณที่เปรียบได้กระดาษขนาดใหญ่มีช่องให้ใส่ตัว เลข ข้อความหรือสูตร สามารถสั่งให้คำนวณตามสูตรหรือเงื่อนไขที่กำหนด หากผู้ใช้ต้องการสร้างคำสั่งหรือสูตรเองก็สามารถทำได้ และยังสามารถสร้างกราฟ แผนภูมิในรูปแบบต่างๆ  เช่น แผนภูมิแท่ง แผนภูมิวงกลม กราฟเส้น ซอฟต์แวร์ตารางทำงานสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับงานประมวลผลตัวเลขอื่นๆ ได้อย่างกว้างขวาง  ตัวอย่างซอฟต์แวร์ตารางทำงานที่ได้รับความนิยม เช่น Microsoft Excel เป็นต้น


6.1.3  ซอฟต์แวร์จัดการฐานข้อมูล

ซอฟต์แวร์จัดการฐานข้อมูลหรือเดตาเบส (Database) ใช้ จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ การเรียกค้นข้อมูล การทำรายงาน การสรุปผลจากข้อมูล ทำได้อย่างเป็นระบบ และสามารถใช้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันร่วมกันได้  โดยไม่เกิดความซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งกันของข้อมูล ซอฟต์แวร์จัดการฐานข้อมูลที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ได้แก่ Microsoft Access เป็นต้น


Microsoft Access 2007 Link to ODBC Database
Microsoft Access 2007

6.1.4  ซอฟต์แวร์นำเสนอ

ซอฟต์แวร์นำเสนอ ทำ ให้การนำเสนอทำได้ง่ายสะดวกรวดเร็ว และน่าสนใจ มารถแสดงข้อความในลักษณะที่จะสื่อความได้ง่ายด้วยเครื่องมือสำเร็จที่เตรียม ไว้ให้  สามารถสร้างสไลด์ที่ประกอบด้วยตัวอักษร รูปภาพ กราฟ แผนภูมิ ตาราง ภาพเคลื่อนไหว เสียง ฯลฯ  ที่นิยมใช้อยู่ในปัจจุบันคือ Microsoft PowerPoint   
Microsoft PowerPoint 


6.1.5  ซอฟต์แวร์กราฟิก


                ซอฟต์แวร์ กราฟิก เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้สร้าง ออกแบบ วาดหรือจัดแต่งรูปภาพหรือเอกสาร ซึ่งซอฟต์แวร์นี้สามารถสร้างงานได้อย่างรวดเร็ว มีคุณภาพ และมีปริมาณมาก ง่ายต่อการนำไปใช้  ซอฟต์แวร์กราฟิกในปัจจุบันมีจำนวนมาก เช่น Adobe Photoshop, Corel-Draw, ACDSee เป็นต้น


Adobe Photoshop  เป็นซอฟต์แวร์แต่งภาพที่ได้รับความนิยมสูงสุด



6.2  ซอฟต์แวร์ใช้งานเฉพาะ

การประยุกต์ใช้งาน ซอฟต์แวร์สำเร็จมักจะเน้นการใช้งานทั่วไป แต่อาจจะนำมาประยุกต์โดยตรงกับงานทางธุรกิจบางอย่างไม่ได้ เช่นในกิจการธนาคาร มีการฝากถอนเงิน งานทางด้านบัญชี หรือในห้างสรรพสินค้ามีงานการขายสินค้า การออกใบเสร็จรับเงิน การควบคุมสินค้าคงคลัง ดังนั้นจึงต้องมีการพัฒนาซอฟต์แวร์ใช้งานเฉพาะสำหรับงานแต่ละประเภทให้ตรง กับความต้องการของผู้ใช้แต่ละราย

BookMark  โปรแกรมใช้งานเฉพาะ  สำหรับการประเมินผลรายวิชาของครูผู้สอนในโรงเรียน


SOURCE  :  http://www.picta55.blogspot.com


HARDWARE

HARDWARE ฮาร์ดแวร์

  





สาระสำคัญ

1  อุปกรณ์ภายใน เป็นอุปกรณ์ที่อยู่ภายในตัวเครื่อง  เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ประมวลผลของคอมพิวเตอร์  ประกอบด้วยอุปกรณ์จ่ายไฟ  เมนบอร์ดและอุปกรณ์ประกอบต่างๆ
เมนบอร์ด (แผงวงจรหลัก)   เป็นแผนวงจรอิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ที่เป็นศูนย์กลาง
การเชื่อมต่ออุปกรณ์ทั้งหมดของคอมพิวเตอร์ทั้งอุปกรณ์ภายใน และอุปกรณ์ภายนอก
อุปกรณ์ภายในที่ สำคัญ คือ ซีพียู (หน่วยประมวลผลกลาง)   แร็ม (หน่วยความจำหลัก) และหน่วยความจำรอง  ได้แก่  ฮาร์ดดิสก์  ฟล็อปปีดิสก์  ซีดี/ดีวีดีไดรว์  เป็นต้น
อุปกรณ์ภายนอก เป็นอุปกรณ์ที่มาต่อพ่วง คือ อุปกรณ์ที่เป็นหน่วยรับเข้า (อินพุต)   เช่น  คีย์บอร์ด  เมาส์  สแกนเนอร์  ฯลฯ   และหน่วยส่งออกต่างๆ (เอาท์พุต) เช่น  จอภาพ เครื่องพิมพ์

อุปกรณ์ภายในของคอมพิวเตอร์ 

Standard Devices  (Internal Devices)



อุปกรณ์ภายในเป็นอุปกรณ์ที่อยู่ภายในตัวเครื่องหรือเคส (Case) เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ประมวลผล จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า หน่วยระบบ หรือซิสเต็มยูนิต (System Unit) ประกอบด้วย


1.  ตัวเครื่อง และอุปกรณ์จ่ายไฟ


Power Supply Unit
Power Supply + Case
อุปกรณ์จ่ายไฟ หรือพาวเวอร์ซัพพลาย (Power Supply)  จะติดมาพร้อมกับตัวเครื่องหรือเคส (Case)  ทำหน้าที่แปลงไฟฟ้ากระแสสลับที่มีแรงดัน 220 โวลต์  ให้เป็นไฟฟ้ากระแสตรงที่มีแรงดัน 12 โวลต์   จ่าย เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์  เครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันมีการต่อพ่วงอุปกรณ์มากขึ้นกว่าเดิม  จึงต้องการพาวเวอร์ซัพพลายที่มีพลังในการจ่ายไฟมากไม่น้อยกว่า 350 วัตต์
หน่วยระบบ (System Unit)

2.  เมนบอร์ด


เมนบอร์ด (Main Board / Mother Board) หรือ แผงวงจรหลัก เป็นแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่ออุปกรณ์ ต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยมีการเชื่อมต่อในหลายลักษณะ ได้แก่
1)  สล็อต (Slot)  เป็นช่องยาวมีหน้าสัมผัสเป็นทองแดงทั้งสองฝั่ง รับการเชื่อมต่อในลักษณะของแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่เรียกว่า การ์ด (Card)  ได้แก่  ซาวด์การ์ด  วีจีเอการ์ด  เป็นต้น
2)  ซ็อกเก็ต (Socket)  เป็นการเชื่อมต่อในลักษณะเข็มและเบ้ารับ  เช่น  ซีพียูซ็อกเก็ต
3)  พอร์ต (Port)  เป็นการเชื่อมต่อในลักษณะที่เป็นช่องเสียบ  ได้แก่  พอร์ตอนุกรม  พอร์ตขนาน  พอร์ตยูเอสบี  เป็นต้น


Main Board (Mother Board)

เมนบอร์ดแต่ละรุ่นจากผู้ผลิตเดียวกันจะมีส่วนประกอบต่างๆเหมือนกัน สิ่งที่แตกต่างกันคือ เบ้ารับซีพียู (ซี พียูซ็อกเก็ต) ที่จะต้องผลิตให้เข้ากันได้กับชิปซีพียูของแต่ละค่าย และไม่สามารถใช้ร่วมกันได้แต่อย่างใด  และราคาเมนบอร์ดที่รองรับซีพียูรุ่นที่ขายดีก็จะมีราคาถูกกว่า เนื่องจากมีการผลิตในจำนวนที่มากกว่า ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยจึงต่ำกว่านั่นเอง
                เมนบอร์ดที่รวมอุปกรณ์มาตรฐานไว้ในตัวเบ็ดเสร็จ  เช่น  ซาวด์การ์ด (Sound Card) หรือวงจรสังเคราะห์เสียง  วีจีเอการ์ด (VGA Card) หรือ วงจรควบคุมการแสดงผล  ฯลฯ  เป็นต้น   จะมีราคาถูกกว่า เพราะเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่สุด  จึงทำให้มีการผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก  แต่สมรรถนะและคุณภาพของอุปกรณ์ที่ติดมาให้นั้นก็อยู่ในระดับธรรมดาๆ ไม่น่าสนใจมากนัก


3.  ซีพียู

CPU Socket
CPU Socket + CPU Chip

ซีพียู (CPU) มาจากคำว่า Central Processing Unit หมายถึง หน่วยประมวลผลกลาง
มีลักษณะเป็นแผ่นซิลิกอนขนาดเล็กที่เรียกว่า ซิลิกอนชิป
(Silicon Chip) ภายในประกอบด้วยวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่สลับซับซ้อนจำนวนหลายล้านวงจร  ซีพียูทำงานเร็วมาก   เช่น  ซีพียูในปัจจุบันมีความเร็วถึง 3 กิกะเฮิร์ตซ์ (GigaHertz) หรือ 3 พัน ล้านจังหวะต่อวินาที     ทำให้เกิดความร้อนสะสมขึ้นที่ตัวชิป  จึงต้องมีการติดตั้งครีบระบายความร้อน (Heatsink) และพัดลม (Fan) เอาไว้ด้วย 
Heatsink - Fan
Heatsink + FAN
การผลิตซีพียูต้องใช้เทคโนโลยีที่สูงมาก ผู้ผลิตที่มีศักยภาพการผลิตและแข่งขันได้จึงมีอยู่แค่สองค่ายเท่านั้น คือ อินเทล (Intel) และเอเอ็มดี (AMD)  ซึ่งในข้อเท็จจริงแล้ว สมรรถนะของซีพียูทั้งสองผู้ผลิตแทบจะไม่มีอะไรแตกต่างกันนัก  




4.  หน่วยความจำหลัก

หน่วยความจำหลัก หรือ เมมมอรี (Memory) คือ หน่วยความจำที่ทำหน้าที่รับฝากและส่งข้อมูลให้กับซีพียูในขณะประมวลผล นั่นหมายถึงว่า ถ้ามีขนาดของหน่วยความจำหลักมาก ประสิทธิภาพในการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ก็จะยิ่งมากตามตามไปด้วย  หน่วยความจำหลักของคอมพิวเตอร์จะหมายถึง แร็ม (RAM) มาจากคำเต็มว่า Random Access Memory  ที่มีความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลสูง เนื่องจากเข้าถึงข้อมูลได้โดยตรง  แต่แร็มก็สามารถเก็บข้อมูลได้ชั่วคราวตราบเท่าที่ยังไม่ปิดโปรแกรม หรือยังไม่ปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ 
RAM SOCKET + RAM
แร็ม (RAM) ที่ ผลิตออกมาแต่ละรุ่นจะมีความแตกต่างกันไปตามเทคโนโลยี ทั้งขนาด  สถาปัตยกรรม และความเร็ว  จึงไม่สามารถใช้แทนกันได้  แม้แต่แร็มรุ่นเดียวกันแต่ต่างผู้ผลิตก็ยังอาจจะเข้ากันไม่ได้ หากต้องนำมาใช้ร่วมกัน จึงส่งผลให้คอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานได้ในที่สุด   ความจุของแร็มมีผลต่อสมรรถนะของคอมพิวเตอร์และการใช้โปรแกรมต่างๆ  จำเป็นต้องเลือกแร็มให้พอเพียง   


5.  หน่วยความจำรอง

 หน่วยความจำรอง หรือ สโตเรจ (Storage) คือ หน่วยความจำที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลและโปรแกรม โดยสามารถเก็บข้อมูลได้จำนวนมากและถาวรตราบเท่าที่เรายังไม่สั่งลบ หรือสั่งให้บันทึกข้อมูลใหม่ทับลงไป  แต่การเข้าถึงข้อมูลของหน่วยความจำรองจะช้ากว่า  อุปกรณ์ที่เป็นหน่วยความจำรอง  ได้แก่  ฮาร์ดดิสก์ไดรว์ (Hard Disk )    ซีดี/ดีวีดีไดรว์ (CD/DVD Drive)  และ แฟล็ชไดรว์หรือแฮนดีไดรว์ (Flash/Handy Drive)  เป็นต้น


Hard Disk เป็นหน่วยความจำรองที่สำคัญสุด
เพราะเป็นหน่วยที่จะรองรับซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการ (OS)
(จากภาพ  Hitachi HDD ความจุ 8 TB)


Computer  Storage Media

อุปกรณ์ภายนอกของคอมพิวเตอร์  
Peripheral Devices (External Devices)

1. พอร์ต (Ports)

อุปกรณ์ภายนอก เป็นอุปกรณ์ต่างๆ ที่มาต่อพ่วงกับหน่วยระบบ มักจะเรียกว่าอุปกรณ์
เพอริเฟอรัล
(Peripherals) การต่อพ่วงจะกระทำผ่าน ช่องหรือพอร์ต ที่อยู่บนเมนบอร์ดและอยู่หลังเคสเมื่อติดตั้งแล้ว  มีทั้งแบบเดือย (พอร์ตตัวผู้) และแบบเบ้า (พอร์ตตัวเมีย)  ดังนี้
Peripheral Devices จะเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ผ่าน Ports 


(1)  พอร์ตแป้นพิมพ์หรือคีย์บอร์ด (Keyboard)   ปัจจุบันเป็นแบบ PS/2  เป็นเบ้ารับหัวต่อแบบเดือย 6 เข็ม แต่ขณะนี้มีคีย์บอร์ดที่เป็นหัวต่อแบบยูเอสบี (USB) เป็นทางเลือกใหม่
(2)  พอร์ตเมาส์ (Mouse Port)  ปัจจุบันเป็นแบบ PS/2 คล้ายกับคีย์บอร์ด  ขณะนี้มีเมาส์ที่เป็นหัวต่อแบบยูเอสบีให้เป็นทางเลือกอีกเช่นเดียวกัน
(3)  พอร์ตอนุกรม (Serial Port)  เป็นพอร์ตแบบเดือยที่มีทั้งชนิด 9 เข็ม และชนิด 25 เข็ม  สำหรับรับหัวต่อแบบเบ้า 9 รู  (พอร์ต COM 1)  หรือ 25 รู  (พอร์ต COM 2)   ขณะ นี้พอร์ตอนุกรมไม่ได้รับความนิยมอีกต่อไปแล้ว เนื่องจากเชื่อมต่อได้เฉพาะอุปกรณ์  เช่น โมเด็มภายนอก  เท่านั้น  แต่จะเป็นพอร์ตแบบยูเอสบีมาแทน
(4) พอร์ตขนาน (Pararell Port)  เป็น พอร์ตแบบเบ้า 25 รู มักจะใช้กับเครื่องพิมพ์รุ่นเก่าที่มีสายเคเบิลพร้อมหัวต่อแบบเดือย 25 เข็ม  การส่งข้อมูลของพอร์ตขนานจะทำได้เร็วกว่าพอร์ตอนุกรม  แต่พอร์ตนี้ไม่ได้รับความนิยมอีกต่อไปแล้ว เนื่องจากเชื่อมต่อได้เฉพาะอุปกรณ์เช่นกัน
(5)  พอร์ตเกม (Game Port) เป็นพอร์ตแบบเบ้า 15 รู  รองรับหัวต่อแบบเดือย 15 เข็ม
ของอุปกรณ์ที่ใช้ในการเล่นเกม เช่น  จอยสติก (
Joy Stick)  เกมแพ็ต (Game Pad)  เป็นต้น
(6)  พอร์ดออดิโอ (Audio Port)  เป็นพอร์ตสำหรับเสียบสายที่มาจากอุปกรณ์เสียง  เช่น ลำโพง  ไมโครโฟน  และมักจะมีการแยกสีให้เห็นชัดเจน คือ สีเขียว สีฟ้า  และสีชมพู
(7)  พอร์ตยูเอสบี (USB : Universal Serial Bus)  เป็น พอร์ตแบบใหม่ที่ช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่สามารถรองรับการต่อพ่วงอุปกรณ์ได้มาก และมีความเร็วในการเชื่อมต่อสูง จึงเป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อของอุปกรณ์ในปัจจุบัน

2. หน่วยรับเข้า (Input)

                หน่วย รับเข้า เป็นอุปกรณ์ที่นำข้อมูลหรือโปรแกรมเข้าไปเก็บไว้ในหน่วยความจำหลัก และใช้ในการประมวลผล อุปกรณ์รับเข้ามีหลายประเภท ได้แก่

         (1)  แป้นพิมพ์ หรือคีย์บอร์ด (Keyboard)   เป็นอุปกรณ์ที่รับข้อมูลจากการกดแป้นแล้วส่งรหัสให้กับคอมพิวเตอร์  ปกติจะเป็นคีย์บอร์ดที่มีการเชื่อมต่อแบบ ps/2 (พีเอสทู)  แต่คีย์บอร์ดรุ่นใหม่จะเป็นการเชื่อมต่อแบบ  USB  มาให้เลือก  นอกจากนี้ก็ยังมีคีย์บอร์ดที่ใช้งานสื่อประสมหรือมัลติมีเดีย  (Multimedia)  เป็นทางเลือกอีกด้วยเช่นกัน
Standard Keyborad


(2)  เมาส์ (Mouse) เป็นอุปกรณ์รับเข้าที่ใช้เลื่อนตัวชี้ไปยังตำแหน่งที่ต้องการบนจอภาพ
มีลักษณะเป็นปุ่มกดครอบอยู่กับลูกกลิ้งกลมหรือเมาส์บอล เมื่อลากไปกับพื้นจะมีการส่งสัญญาณตามแนวแกน X และแกน Y เข้าสู่คอมพิวเตอร์    โดยการเชื่อมต่ออาจเป็นได้ทั้งแบบพอร์ตเมาส์  ps/2  และพอร์ตแบบ USB ก็ได้

Touchpad Mouse (เมาส์แบบสัมผัส)

        (3) สแกนเนอร์ (Scanner)  เป็น อุปกรณ์รับข้อมูลโดยใช้เทคโนโลยีของการผ่านแสง เพื่ออ่านรหัสสัญลักษณ์หรือรูปภาพ แล้วส่งต่อให้คอมพิวเตอร์ประมวลผลต่อไป สแกนเนอร์ทำให้การรับข้อมูลทำได้รวดเร็ว  มีทั้งสแกนเนอร์แบบวางบนโต๊ะ และสแกนเนอร์แบบมือถือสำหรับอ่านรหัสแท่ง (Bar Code) ซึ่งพบได้ในห้างขายปลีก หรือคลังสินค้า  เป็นต้น
All in One Printer/Scanner
เครื่องพิมพ์แบบเอนกประสงค์ คือทั้งพิมพ์ ถ่ายเอกสาร สแกน


3. หน่วยส่งออก (Output)

หน่วยส่งออก เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญและจำเป็น ได้แก่

          (1)  จอภาพ หรือมอนิเตอร์ (Monitor) 

มีหลักการทำงานเริ่ม จากที่คอมพิวเตอร์ส่งสัญญาณไปยังการ์ดควบคุมการแสดงผลที่จะทำการเปรียบเทียบ ค่าสัญญาณและแปลงให้เป็นสัญญาณทางไฟฟ้า ซึ่งจะมีสีที่เป็นแม่สีในการแสดผลอยู่ 3 สี คือ แดง  เขียว และน้ำเงิน (RGB) และทำการผสมกันออกมาเป็นสีต่างๆ เมื่อแปลงสัญญาณเรียบร้อยแล้ว ก็จะส่งสัญญาณต่อไปยังหลอดภาพอีกที
Crt Monitor Photo, Detailed about Crt Monitor Picture on Alibaba.
CRT Monitor
จอภาพมีอยู่ 2 แบบ คือ ซีอาร์ที (CRT : Cathode Ray Tube) ใช้เทคโนโลยีของหลอดรังสีอิเล็กตรอนเช่นเดียวกับจอโทรทัศน์   และจอภาพแบบแอลซีดี (LCD : Liquid Crystal Display)   ที่ใช้เทคโนโลยีของการบรรจุผลึกของเหลวไว้ภายใน


LCD  Monitor
                

             (2)  เครื่องพิมพ์ (Printer)  

          เครื่องพิมพ์มีหลายประเภทตามเทคโนโลยีการพิมพ์  ได้แก่
              เครื่องพิมพ์แบบเข็ม  (Dot Matrix) เป็น เครื่องพิมพ์ที่มีหัวยิงเป็นเข็มขนาดเล็กพุ่งไปชนแผ่นผ้าหมึก เพื่อให้หมึกเดินบนกระดาษเป็นจุดเล็กๆ หลายๆ จุด เรียงกันเป็นตัวหนังสือหรือรูปภาพ หัวเข็มที่ใช้ยิงไปยังผ้าหมึกมีจำนวนหลายหัว  โดยปกติจะเป็นแบบ 24 หัวเข็ม จัดวางเรียงกันในแนวตั้ง ทำให้ได้ตัวหนังสือที่ละเอียดพอสมควร  ข้อดีของเครื่องพิมพ์ประเภทนี้ก็คือ แข็งแรงทนทาน  ต้นทุนการพิมพ์ต่ำมาก  พิมพ์ได้หลายสำเนาพร้อมกัน  และพิมพ์ออกกระดาษต่อเนื่องได้  ส่วนข้อเสียคือ ผลงานที่พิมพ์ออกมาไม่คมชัด  ราคาเครื่องพิมพ์แพงที่สุด 

Dot Matrix Printer
สามารถพิมพ์ได้หลายสำเนา

            # เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึกหรืออิงค์เจ็ท (Inkjet) เป็น เครื่องพิมพ์ที่ใช้วิธีการพ่นหมึกและผสมสีจากแม่สีสามสี คือ แดง เหลือง และน้ำเงิน โดยจะผสมสีให้ได้สีตามความต้องการ และพ่นหมึกเพื่อให้ติดบนกระดาษ ปัจจุบันได้รับความนิยมมาก เพราะเครื่องพิมพ์ราคาถูก ผลงานพิมพ์ออกมาเป็นสีสวยงาม แต่ข้อเสียคือ หมึกพิมพ์มีราคาแพง  แต่ปัจจุบันนี้มีหมึกพิมพ์ราคาถูกจากผู้ผลิตอื่น ที่ไม่ได้เป็นผู้ผลิตเครื่องพิมพ์นั้น เป็นทางเลือกสำหรับผู้บริโภค  ทำให้เครื่องพิมพ์ประเภทนี้ได้รับความนิยมมากที่สุด


Inkjet Printer


           # เครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์ (Laser Printer) เป็นเครื่องพิมพ์ที่ให้ความคมชัดและความละเอียดสูง การพิมพ์จะใช้หลักการทางแสง ปกติจะมีความละเอียดไม่น้อยกว่า 600 จุดต่อนิ้ว จึงได้งานพิมพ์ที่มีคุณภาพ ปัจจุบันเครื่องพิมพ์ชนิดนี้มีราคาถูกลง และได้รับความนิยมสูง เพราะเมื่อเทียบประสิทธิภาพกับราคาแล้วคุ้มค่า
Color Laser Printer

SOURCE  :  http://www.picta55.blogspot.com